Banner_Aboutus

เรียน ท่านผู้ถือหุ้น

 

ทีพีไอ โพลีน สร้างอนาคต สู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน

ด้วยเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม สีเขียว

เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

จากความรุนแรงและความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดผลกระทบที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้กลุ่มทีพีไอโพลีน ให้ความสำคัญด้านผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน รวมทั้งดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG (Environmental Social and Governance)   ซึ่งส่งผลให้โรงปูนซิเมนต์ของบริษัทได้รับใบรับรองและได้รับอนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์ Green Industry จากกองส่งเสริมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมแรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ในการพัฒนาสู่การเป็น “อุตสาหกรรมสีเขียว” ที่ยึดมั่นในการปรับปรุงกระบวนการผลิต การบริหารจัดการพลังงานและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ทีพีไอโพลีนได้รับสิทธิประโยชน์ในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าของหน่วยงานภาครัฐและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเทียบเท่าสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

กลุ่มทีพีไอโพลีนสามารถนำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินในโรงปูนซิเมนต์ครบทุกสี่สายการผลิตภายในปี 2566 โดยตั้งเป้านำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินให้ได้ถึง 25% ของปริมาณความร้อนที่ต้องการ   นอกจากนี้ยังตั้งเป้านำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินในโรงไฟฟ้าให้ได้ 100% ภายในปี 2568 ซึ่งทำให้เกิดรูปธรรมในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน สามารถลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจจากความผันผวนของราคาถ่านหิน เมื่อเทียบกับต้นทุนขยะที่ค่อนข้างคงที่  รวมถึงลดความเสี่ยงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สากลให้ความสำคัญ จนนำไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทลดลง และเป็นการลดความเสี่ยงจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

นอกจากนี้ ทีพีไอโพลีน มีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญในการดูแลรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทั้งในและนอกองค์กร ส่งเสริมและสนับสนุนให้คู่ค้าทางธุรกิจมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจโดยมีธรรมาภิบาลที่ดี ยึดหลักความถูกต้อง ให้สอดคล้องกับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ภายใต้จรรยาบรรณธุรกิจขององค์กรตามนโยบาย ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ตลอดจนส่งเสริมการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงานในเครือทีพีไอโพลีน รักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ให้สังคมเป็นสุขและอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

 

 

ผลการดำเนินงานประจำปี  2566 ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ในปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 10,055 ล้านบาท  โดยมีอัตราส่วนภาระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (สุทธิ) ต่อ EBITDA เท่ากับ 6.41 เท่า (Net IBD/EBITDA) ซึ่งจัดเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการชำระหนี้

บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติ 4,509 ล้านบาท โดยบันทึกกำไรสุทธิในปี 2566 จำนวน 4,305 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 4,509 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 292 ล้านบาท

 

เสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 21,935.20 ล้านบาท ในปี 2566  

ในปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มทีพีไอโพลีน ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้จำนวนรวมทั้งสิ้น 21,935.20 ล้านบาท (กลุ่มทีพีไอโพลีนได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “A-” (Single A Minus) แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”) โดยได้นำเงินส่วนใหญ่ไปชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ และนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ในการลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงปูนซิเมนต์  โรงงานเม็ดพลาสติก โรงไฟฟ้า และโรงผลิตยาแผนปัจจุบัน รวมถึงเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงมีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีมาตรการลดต้นทุนและโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเพิ่มกำไร เพื่อรักษาความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นที่อยู่ในเกณฑ์สูงต่อไป

การบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงได้ประเมินความเสี่ยงและมาตรการรองรับ รวมถึงพิจารณาโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2586 ซึ่งเร็วกว่าที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมย์ที่จะบรรลุเป้าภายในปี 2593

บริษัทได้ประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้กำหนดเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวและกลยุทธ์ในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ บริษัทได้ใช้เงินทุนเพื่อปรับเทคโนโลยีให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการนำขยะมาเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ใช้ยานพาหนะและเครื่องจักรกลหนักที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า (EV Dump Truck) แทนการใช้เครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานจากฟอสซิล (น้ำมันดีเซล) ซึ่งผลตอบแทนที่ได้คุ้มค่ากับการลงทุน บริษัทยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการใช้กลยุทธ์คาร์บอนต่ำเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ซึ่งทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

                ในปี 2566 โรงงานปูนซิเมนต์ทั้งสี่สายการผลิตสามารถใช้ขยะทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินได้ประมาณ 14% ของปริมาณความร้อนที่ต้องการ ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าที่กำหนดไว้ที่ 25% เนื่องจากโรงปูนซิเมนต์ได้ทยอยติดตั้งเครื่องจักร เพื่อให้สามารถนำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินใน 4 สายการผลิตปูนซิเมนต์ โดยสายการผลิตสุดท้ายได้ติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2566 นี้ จึงทำให้อัตราเฉลี่ยการใช้เชื้อเพลิงขยะแทนถ่านหินในปี 2566 ยังไม่เต็มเป้าที่กำหนดไว้ที่ 25%

ในส่วนของกระบวนการผลิตไฟฟ้าของ บมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (บริษัทย่อย) บริษัทประสบความสำเร็จในการใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนทั้งหมดในหม้อผลิตไอน้ำ B6 และกำลังดำเนินการก่อสร้างหม้อผลิต         ไอน้ำเพิ่มเพื่อใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนถ่านหิน ส่วนโรงไฟฟ้า TG8 คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนได้อย่างสมบรูณ์ในปี 2568 ทำให้บริษัทยกเลิกการใช้ถ่านหินได้ทั้งหมดในปี 2568 นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (Renewable Energy) ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2567 ทำให้ได้ใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ซึ่งจะส่งผลให้โรงไฟฟ้าของกลุ่มทีพีไอโพลีนเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดอย่างสมบูรณ์ (Coal Free Power Plant)

 

ทั้งนี้ ในปี 2566 กลุ่มทีพีไอโพลีนได้นำขยะมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและปูนซิเมนต์ รวมประมาณ 2.77 ล้านตัน  ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ประมาณ 6.43 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (คำนวณคิดค่า Emission Factor จากการปล่อยขยะดังกล่าวข้างต้นเป็นขยะฝังกลบ จะส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจก 2.32 ตัน ต่อขยะฝังกลบ 1 ตัน)

 

ลดต้นทุนค่าขนส่งและค่าซ่อมบำรุง พร้อมๆกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงเดินหน้าลดต้นทุนค่าขนส่งและค่าซ่อมบำรุง พร้อมๆกับการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Mitigation) และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จากการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าซึ่งรวมถึงพนักงาน คู่ค้า ลูกค้า และชุมชนสังคม ด้วยการใช้รถไฟฟ้าแทนรถเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง เพื่อขนส่งหินก่อสร้างในโรงงานของบริษัท รวมทั้งมีระบบสายพานลำเลียงขนส่งหินจากเหมืองถึงโรงงาน แทนรถระบบสันดาปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนรถขนส่งผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทจากระบบสันดาปมาเป็นรถขนส่งระบบไฟฟ้า ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยลดทั้งต้นทุนค่าขนส่ง ค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และลดผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 เพื่อคุณภาพอากาศที่ดีขึ้น

มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Products)

ในปี 2566 ทีพีไอโพลีนตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ และการผลิตสินค้าที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนหินปูน ใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนถ่านหิน และใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สู่การเป็นผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Products) ที่สนับสนุนการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Construction) ได้แก่ Green Clinker, Hydraulic Cement or Green Cement, Green Fiber Cement และ Green Concrete Roof Tile เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุโลกร้อน

ผู้นำในธุรกิจโพลิเมอร์เกรดพิเศษ (Specialty Polymer)

                    บริษัทยังคงมุ่งสู่ตลาดเทคโนโลยี โดยเป็นผู้นำในธุรกิจโพลิเมอร์เกรดพิเศษ (Specialty Polymer)  เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มีมูลค่าเพิ่มและอัตรากำไรที่สูงกว่าตลาดโดยทั่วไป  โดยการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ผลิตรายใหญ่อื่นไม่สามารถทำได้  ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงต้องทำการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เอง โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้พัฒนาผลิตตัวอย่างสินค้ามาใช้สำหรับการทดสอบและทดลองตลาดใหม่ๆ ก่อนที่จะพัฒนานำเทคโนโลยีใหม่ไปใช้กับสายการผลิตจริงในอนาคต โดยบริษัทสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษประเภท EVA เกรด Hotmelt ใหม่ๆ ได้ภายในปี 2566 เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้บริษัทสามารถเน้นการผลิต High Value Gradeสำหรับ Photovoltaic และ Hotmelt  แทนเกรดรองเท้า และ Coating ได้ ส่งผลให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นกลุ่มสินค้าที่จัดเป็น HighValue Added เป็นส่วนใหญ่

พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน

กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่มีอัตรากำไรและการเติบโตที่สูง พร้อมๆกับการบริหารต้นทุนการผลิตและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังคงเน้นพัฒนาเทคโนโลยีและนำนวัตกรรมมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบันทุกธุรกิจต้องใช้การลงทุนทางเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน   โดยหากไม่มีการพิจารณาการลงทุนใหม่จะทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ และทำให้ไม่สามารถสร้างรายรับอย่างยั่งยืนได้ หรือ อาจทำให้บริษัทต้องล้มเลิกกิจการไปในที่สุด หากไม่สามารถติดตาม Disruptive Industry ได้ทัน ทั้งนี้กลุ่มทีพีไอ โพลีน ได้บริหารจัดการความเสี่ยงด้านความยั่งยืน (ESG Risk) ซึ่งประกอบด้วย ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environment Risk) ความเสี่ยงด้านสังคม(Social Risk) และความเสี่ยงด้านบรรษัทภิบาล  (Governance Risk)  เข้าไปเป็นพันธกิจและกำหนดเป็นกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล

สร้างคุณค่าเพื่อให้โลกดีขึ้น

กลุ่มทีพีไอโพลีน ยังเน้นการสร้างคุณค่าเพื่อให้โลกดีขึ้น ด้วยการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพืชจากอินทรีย์วัตถุ ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ และสารปรับสภาพดิน เป็นต้น ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำให้ดินเสีย และผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ น้ำส้มควันไม้ ซึ่งสามารถไล่แมลงจากพืช ผัก ผลไม้ ได้โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง อันเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ในราคาที่ถูกกว่าปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดอันตรายอันเกิดจากการใช้ยาปราบศัตรูพืชทำให้ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกร ตามนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาล นอกจากนี้กลุ่มทีพีไอโพลีน ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับปศุสัตว์และประมง เช่น ซินไบโอติกส์ ซึ่งช่วยสร้างภูมิต้านทาน และช่วยย่อยเศษอาหารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นจนกลายเป็น Gas Methane และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคร้าย เมื่อสัตว์เลี้ยงได้รับสารซินไบโอติกส์ จะได้รับสารอาหารที่ดี ทำให้สุขภาพดี ไม่เกิดโรค โดยไม่ต้องใช้ยาปฎิชีวนะ และ ไม่มีกลิ่นเหม็นในโรงเลี้ยงสัตว์ ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนอาหารสัตว์ และไม่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนจากก๊าซเรือนกระจก  เป็นโครงการเพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร (Food Safety and Food Security) ของมนุษย์

กลุ่มทีพีไอโพลีนยังลงทุนในโครงการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Health Care Products) และยาสามัญประจำบ้าน ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และขอใบอนุญาตรับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice : GMP โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิต ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและยาสามัญที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่กลุ่มยาแก้ปวดท้อง ยาอมแก้เจ็บคอ น้ำยาบ้วนปาก และยาคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น ช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ  ทั้งนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีนมีทีมงานเภสัชกรวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ใช้วัตถุดิบที่เป็นสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในรายชื่อตำรับยาแผนปัจจุบัน  ภายใต้กรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัย ถูกสุขลักษณะ และสะอาด เพื่อผลิต ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและยาที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ในปี 2566 นี้ บริษัท ทีพีไอ รักษ์สุขภาพ จำกัด ได้ลงทุนเพิ่มสายการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม Provita ซึ่งเป็นเครื่องดื่มโปรไบโอติกส์ผสมวิตามิน ซึ่งช่วยย่อยอาหารเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย และต่อต้านจุลินทรีย์ที่ทำให้ท้องเสียได้  นอกจากนี้ ทางบริษัทฯยังได้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Bio Knox ซึ่งสามารถฆ่า Virus – Covid และอื่นๆ ได้ เมื่อสัมผัสถูก หรือดื่มเข้าไป ทำให้ Covid -Virus ตายหมดภายใน 5 นาที เป็นการช่วยรักษาสุขภาพ ของประชาชนคนไทยจากโรคร้าย

 

 

ผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

ด้วยผลสำเร็จจากการที่กลุ่มทีพีไอโพลีนได้นำคุณค่าแห่งความยั่งยืนมาขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มทีพีไอโพลีนได้รับรางวัล การรับรองจากองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ ในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาลหรือ ESG (Environment Social and Governance) สรุปดังนี้

  1. ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1ใน 100 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, Governance) หรือกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2566 ในหมวดกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 2 (2565-2566) และเป็นบริษัทที่น่าลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง จากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์
  2. ได้รับการประเมินเป็น “หุ้นยั่งยืนระดับ AA” ประจำปี 2566 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  3. ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ประจำปี 2566 โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute if Directors : IOD) ในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring)
  4. ได้รับรางวัล 3G Excellence Award in CSR Activities 2023 จากเวทีระดับโลก Global Good Governance Awards (3G Awards) 2023 จากบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน Cambridge IFA International Financial Advisory สหราชอาณาจักร
  5. ได้รับรางวัลเกียรติคุณจากโครงการหนึ่งล้านกล้าความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน ประจำปี 2566 จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน สาขานวัตกรรมการเกษตร และรางวัลความเป็นเลิศ สาขาการบริหารเทคโนโลยี นวัตกรรม วิจัยและพัฒนา
  6. ได้รับรางวัล SET Awards 2023 ด้าน Outstanding Innovative Company Award ในกลุ่มบริษัท จดทะเบียน จากนวัตกรรม “อุปกรณ์สร้างกระแสลมวนบนปล่องไฟแบบมีช่องเปิด” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และวารสารการเงินการธนาคาร

ในนามของคณะกรรมการบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ใคร่ขอขอบคุณท่าน       ผู้ถือหุ้น  ท่านผู้ถือหุ้นกู้  สถาบันการเงินต่างๆ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ที่ได้ร่วมให้การสนับสนุน  และให้ความไว้วางใจต่อกลุ่มทีพีไอโพลีน ด้วยดีตลอดมา ส่งผลให้กลุ่มทีพีไอโพลีนประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเป็นแรงผลักดันให้ผู้บริหารและพนักงานทุกคนร่วมกันดำเนินธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน และลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อความยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเข้มแข็งให้แก่องค์กร เศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ  รวมถึงการดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี

ขอแสดงความนับถือ

 

นายขันธ์ชัย วิจักขณะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ

นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร