เรียน ท่านผู้ถือหุ้น
ทีพีไอ โพลีน สร้างอนาคต สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย ด้วยกิจกรรมทางเศรฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ภาระหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง มีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากภาคธนาคารระมัดระวังปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มภาระหนี้สูง ปัญหาสินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันในไทยมากขึ้น ปัญหาความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจ การค้าและภาษีของประเทศหลัก รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในส่วนต่าง ๆของโลก ทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและผู้บริโภคยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้ธุรกิจปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ให้ความสำคัญในการปรับลดต้นทุนการผลิต โดยการลดการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตปูนซิเมนต์ และใช้เชื้อเพลิงสะอาด เพื่อลดผลกระทบจากกฎระเบียบการค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นมาตรการในการกีดกันทางการค้า ส่งผลต่ออุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ของไทย สภาวะการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นผลักดันให้อุตสาหกรรมปูนซิเมนต์เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญไปสู่การใช้พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน
โครงการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่การผลิตแบบคาร์บอนต่ำ
คณะกรรมการบริษัทตระหนักถึงความสำคัญในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงได้แสดงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจที่ยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยได้กำหนดเป้าหมายระยะยาวในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนของกลุ่มทีพีไอโพลีน ภายในปี 2586 โดยมุ่งสู่การผลิตแบบคาร์บอนต่ำ การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิตอย่างเต็มที่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีนมีการบริหารจัดการองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน (Green Management) ได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี กระบวนการผลิต และปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อลด CO2 และรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้กลุ่มทีพีไอโพลีนสามารถบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2586 ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทได้ลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มการเติบโตของกำไรอย่างยั่งยืน
และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (CO2)หนึ่งในโครงการที่สำคัญได้แก่ การนำขยะเทศบาลมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงขยะทดแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและปูนซิเมนต์ และลดการใช้พลังงานจากน้ำมันรวมถึงลดการพึ่งพาเชื้อเพลงฟอสซิล (Fossil Fuel) สำหรับเครื่องจักรที่ใช้ Fossil Fuel ทั้งหมดของกลุ่มบริษัท ด้วยการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดจากไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าของบริษัทย่อย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังทำให้สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้อีกด้วย ถือเป็นการลงทุนเพื่อความยั่งยืน
ในปี 2567 บริษัทกลุ่มทีพีไอโพลีน ประสบความสำเร็จในการนำเชื้อเพลิงขยะมาใช้แทนถ่านหินในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ได้ คิดเป็นร้อยละถึง 12% ของปริมาณความร้อนที่ต้องการ และยังคงเดินหน้าเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงขยะให้ได้ถึง 25% ในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ กลุ่มทีพีไอโพลีนยังเน้นการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งแบบติดตั้งบนพื้นดินและบนหลังคา รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานลม เพื่อสนับสนุนการผลิตที่ปลอดคาร์บอน
ในปี 2567 กลุ่มทีพีไอโพลีน ได้แปรรูปขยะทุกประเภทรวมทั้งสิ้นจำนวน 2.92 ล้านตัน แปรรูปเป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตไฟฟ้าและปูนซิเมนต์ ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ประมาณ 6.77 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (คำนวณเทียบเท่าค่า Emission Factor จากขยะฝังกลบ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.32 ตัน ต่อขยะฝังกลบ 1 ตัน) ถือเป็นความก้าวหน้าของกลุ่มทีพีไอโพลีนในการดำเนินงานด้านการจัดการทรัพยากรและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
บริษัทลงทุนเสริมสร้างประสิทธิภาพในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยลงทุนในโครงการปรับปรุงระบบดักฝุ่นในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดฝุ่นละอองและก๊าซเรือนกระจกนอกจากนี้ยังได้ลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยการผลิตปูนซิเมนต์แบบ Green Cement Process
นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนในเทคโนโลยี และกระบวนการที่ลดการปล่อยคาร์บอน เช่น ระบบสายพานลำเลียงวัตถุดิบที่ใช้พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนเครื่องจักรในเหมืองมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้า (Green Mining) การใช้รถไฟฟ้าในการขนส่ง (Green Logistics) และการใช้รถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้าในคลังสินค้า (Green Warehouse) เพื่อส่งเสริมกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ
ในด้านผลิตภัณฑ์ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Products) ได้แก่ ปูนซิเมนต์เขียว คอนกรีตผสมเสร็จเขียว กระเบื้องคอนกรีตเขียว ไฟเบอร์ซิเมนต์เขียว อิฐมวลเบาเขียว สี และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ โดยลดการใช้ปูนเม็ด (clinker) ในการผลิตปูนซิเมนต์ เช่น การผลิต Hydraulic cement แทนการผลิตปูนปอร์ตแลนด์ประเภท 1 ซึ่งช่วยลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้วยนโยบายที่มุ่งสู่การผลิตแบบคาร์บอนต่ำ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว และภายใต้ความเสี่ยงดังกล่าว ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การขายปูนซิเมนต์ที่มีค่าคาร์บอนต่ำ อย่าง Hydraulic cement ที่ตอบสนองความต้องการในตลาดโลกที่มุ่งเน้นความยั่งยืน
พิจารณาความเสี่ยงรอบด้าน รวมถึงความเสี่ยงด้านความยั่งยืน (ESG Risk)
กลุ่มทีพีไอโพลีนได้พิจารณาโครงการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยพิจารณาการลงทุนกับปัจจัยความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ (Strategy risk) ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงาน (Operational risk) ความเสี่ยงทางด้านการเงิน (Financial risk) และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง (Compliance risk) โดยกลุ่มทีพีไอโพลีนจะพิจารณาความเสี่ยงรอบด้าน ซึ่งรวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG risk) ในการประกอบธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ได้สำเร็จ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 9 (อุตสาหกรรม นวัตกรรม) และเป้าหมายที่ 13 (การจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
การบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ในปี 2567 บริษัทได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO14064-1 (Carbon Footprint Verification – CFV) ด้านหลักการและข้อกำหนดระดับองค์กร สำหรับการวัดปริมาณและการรายงานผลการปลดปล่อยและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมถึงข้อกำหนดสำหรับการออกแบบ การพัฒนา การจัดการ การรายงาน และการทวนสอบบัญชีรายการปลดปล่อยและการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกขององค์กร จากบริษัท บีเอสไอ (ประเทศไทย) จำกัด (BSI: British Standards Institution) สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการดำเนินการตามพันธกิจของกลุ่มทีพีไอโพลีนต่อการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
ธุรกิจการเกษตรชีวะอินทรีย์และสินค้าเพื่อสุขภาพ
กลุ่มทีพีไอโพลีนตระหนักถึงความกินดีอยู่ดีของสังคมไทย จึงให้ความสำคัญกับธุรกิจเกษตรชีวะอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย
- ผลิตภัณฑ์สำหรับพืชไร้สารพิษ ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ สารปรับปรุงสภาพดิน และสารไล่แมลง โดยไม่ต้องใช้ยาเคมีพิษฆ่าแมลง
- ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ไร้สารพิษ ได้แก่ จุลินทรีย์ชีวนะ สำหรับปศุสัตว์และประมง ไร้สารพิษและสารฆ่า VIRUSES ในสัตว์บกและสัตว์น้ำ โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
- ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยชีวภาพ ได้แก่ เครื่องดื่มโพรไบโอติกผสมวิตามิน (Pro vita) อาหารเสริมโพรไบโอติกแคลเซียมและวิตามินซี น้ำยาบ้วนปากไบโอน็อค (Bio Knox) เป็นน้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรียในช่องปาก ป้องกันไม่ให้เชื้อ Virus เข้าสู่ร่างกายทางปาก ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด น้ำยาล้างจาน และน้ำยาขจัดคราบ นอกจากนี้มี น้ำยาล้างผัก สบู่เหลวอาบน้ำ สบู่ล้างมือ
- น้ำดื่มตราทีพีไอพีแอล เพื่อให้คนไทยได้มีน้ำดื่มในราคาที่เหมาะสม
ผลการดำเนินงานประจำปี 2567
ในปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 8,830.47 ล้านบาท บริษัทและบริษัทย่อยบันทึกกำไรสุทธิในปี 2567 จำนวน 2,425 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 2,822 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 88 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จำนวน 485 ล้านบาท
เสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 15,774.20 ล้านบาท ในปี 2567
ในปี 2567 ที่ผ่านมา กลุ่มทีพีไอโพลีน ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้จำนวนรวมทั้งสิ้น 15,774.20 ล้านบาท (โดยหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ “A-” (Single A Minus) แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568) โดยได้นำเงินส่วนใหญ่ไปชำระหนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระ และนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนแล้ว ยังสามารถลด CO2 ช่วยลดภาวะโลกร้อน
บริหารสภาพคล่องทางการเงินให้มีเสถียรภาพและมั่นคง
โครงการลงทุน กลุ่มทีพีไอโพลีน จะให้ความสำคัญกับโครงการลงทุน โดยมีระยะเวลาคืนทุนให้อยู่ในช่วงประมาณ 3-5 ปี เพื่อควบคุมอัตราส่วน Net Debt / EBITDA ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
กลุ่มทีพีไอโพลีน มีนโยบายติดตามการบริหารสภาพคล่องทางการเงินอย่างใกล้ชิด โดยจัดทำประมาณทางการเงินล่วงหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดสุทธิ และประเมินสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อวางแผนทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างรัดกุม เพื่อให้สภาพคล่องทางการเงินของกลุ่มมีพีไอโพลีนมีเสถียรภาพและมั่นคง มีความยืดหยุ่น สามารถรองรับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็วได้
ผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน
กลุ่มทีพีไอโพลีน ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ สร้างผลตอบแทนที่ดี และให้ความสำคัญกับการดูแลรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบด้าน ส่งเสริมและสนับสนุนให้คู่ค้าทางธุรกิจมีส่วนร่วมในการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี ยึดหลักความถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบ ภายใต้จรรยาบรรณธุรกิจและนโยบาย ESG นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน พัฒนาคุณภาพชีวิตของพนักงาน รักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ พร้อมสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนของชุมชนและสังคม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืนในระดับสากล
กลุ่มทีพีไอโพลีนยังคงยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ความสำเร็จของกลุ่มทีพีไอโพลีน ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและระดับสากล โดยตอกย้ำถึงความเป็นเลิศในด้านการบริหารจัดการและการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยได้รับรางวัลในระดับประเทศและระดับสากล ดังนี้
- ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance) หรือกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 3 (2565-2567) จากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์
- ได้รับการประเมินเป็น “หุ้นยั่งยืนระดับ AA” ประจำปี 2567 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน (2566-2567) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ประจำปี 2567 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute if Directors : IOD))
- ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ “องค์การที่มีกิจกรรมทางสังคมดีเด่น ประจำปี 2567” ประเภทองค์กรภาคธุรกิจ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
- นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “Officier de l'Ordre de la Couronne” แห่งราชอาณาจักรเบลเยี่ยม
- ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO14064-1 (Carbon Footprint Verification – CFV) ด้านหลักการและข้อกำหนดระดับองค์กร สำหรับการวัดปริมาณและการรายงานผลการปลดปล่อยและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมถึงข้อกำหนดสำหรับการออกแบบ การพัฒนา การจัดการ การรายงาน และการทวนสอบบัญชีรายการปลดปล่อยและการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกขององค์กร จากบริษัท บีเอสไอ (ประเทศไทย) จำกัด (BSI: British Standards Institution)
- ได้รับรางวัล Leading Industrial Conglomerate Group Thailand 2024 จากนิตยสาร World Business Outlook
- ได้รับ Certificate of Achievement as “World’s Best Companies to Work for 2024” จากนิตยสาร World’s Leaders
ในนามของคณะกรรมการบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ขอขอบคุณผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ คู่ค้า สถาบันการเงินต่าง ๆ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมสนับสนุน และไว้วางใจกลุ่มทีพีไอโพลีน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มทีพีไอโพลีนประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเติบโตที่ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มทีพีไอ โพลีนจะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
![]() |
![]() |
นายขันธ์ชัย วิจักขณะประธานกรรมการและกรรมการอิสระ |
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ |